เด็กติดเกมมีลักษณะอย่างไร?

เด็กติดเกมคืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคนใกล้ชิดหรือตัวเราเองติดเกมหรือไม่

ลักษณะของเด็กติดเกม
1. ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เล่นในเวลาที่กำหนด ทำให้ใช้เวลาในการเล่นนานติดต่อกันหลายๆชั่วโมงหรือเล่นนานขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มเป็นหลายชั่วโมงต่อวัน บางคนเล่นข้ามวันข้ามคืน
2. หากถูกบังคับให้เลิกหรือหยุดเล่นจะต่อต้าน หรือมีปฏิกริยาหงุดหงิดไม่พอใจอย่างรุนแรง บางคนถึงขั้นก้าวร้าว
3. การเล่นของเด็กมีผลกระทบต่อหน้าที่ความรับผิดชอบของเด็ก เช่น เด็กไม่สนใจการเรียน ไม่สนใจที่จะทำการบ้าน หนีเรียนหรือแอบหนีออกจากบ้านเพื่อจะไปเล่นเกม การเรียนตกลงอย่างมาก ละเลยการเข้าสังคม หรือทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว
4. บางรายอาจมีปัญหาพฤติกรรมอื่นๆร่วมด้วย เช่น โกหก ลักขโมย (เพื่อนำเงินไปเล่นเกม) ดื้อต่อต้านแยกตัว เก็บตัว ฯลฯ


สาเหตุที่ทำให้เด็กติดเกม

1. การเลี้ยงดูในครอบครัว: มักจะพบเด็กติดเกมได้บ่อยในครอบครัวที่เลี้ยงเด็กโดยไม่เคยฝึกให้เด็กมีวินัยในตัวเอง ขาดกฎระเบียบ กติกาในบ้าน ตามใจเด็ก หรือมักจะใจอ่อนไม่ทำโทษเมื่อเด็กกระทำผิด บางครอบครัวมีลักษณะที่สมาชิกในครอบครัวต่างคนต่างอยู่ ไม่มีกิจกรรมที่สนุกสนานให้เด็กทำ หรือไม่มีกิจกรรมที่สมาชิกทุกคนทำร่วมกัน ทำให้เด็กเกิดความเหงา ความเบื่อหน่าย เด็กจึงต้องหากิจกรรมอื่นทำเพื่อให้ตัวเองสนุกซึ่งก็หนีไม่พ้นการเล่นเกม พ่อแม่อาจไม่มีเวลาควบคุมเด็ก หรือมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องจำกัดเวลาในการเล่นเกมของเด็กในช่วงแรก พ่อแม่อาจรู้สึกพอใจที่เห็นเด็กเล่นเกมเงียบๆคนเดียวได้โดยไม่มารบกวนตน ทำให้ตนมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น พูดง่ายๆคือใช้เกมเสมือนเป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กแทนตน
2. สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป: สังคมยุคไฮเทคที่มีเครื่องมือที่มีพลังในการเร้าความตื่นเต้นให้เกิดขึ้นในตัวเด็กอย่างมหาศาล สังคมวัตถุนิยม สังคมที่ขาดแคลนกิจกรรม หรือสถานที่ที่เด็กจะได้ใช้ประโยชน์หรือเรียนรู้โดยได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินไปด้วย เหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้เด็กหันไปใช้การเล่นเกมเป็นทางออก
3. ปัจจัยในตัวเด็กเอง: เด็กบางกลุ่มอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเกมมากกว่าเด็กทั่วไป เช่น เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) เด็กที่มีปัญหาอารมณ์ ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล เด็กที่ขาดทักษะทางสังคม เข้ากับเพื่อนไม่ได้ เด็กที่มีปัญหาการเรียน เด็กที่มีความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองต่ำ (low self-esteem) เป็นต้น

เมื่อลูกอาละวาดคุณแม่อย่าทำแบบนี้กับลูกนะ


4 ข้อนี้ คุณแม่ห้ามทำ เมื่อลูกอาละวาด
คุณแม่คิดให้ดีก่อนทำลงไป เมื่อลูกเกิดกรีดร้อง อาละวาด ดื้อจนเอาไม่อยู่ ลูกโมโหง่าย โมโหร้าย ก้าวร้าว วิธีจัดการเด็กอาละวาด


1. คุณแม่ห้ามทำ “ไม่ตามใจ – ไม่ติดสินบน”

คุณพ่อคุณแม่บางคนยอมลูกทันทีที่ลูกร้องอาละวาด เพื่อที่ลูกจะได้หยุด (และคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องอับอายคนรอบข้าง) เช่น ถ้าลูกลงไปนอนดิ้นเพราะอยากได้ของเล่น ก็รีบหยิบไปจ่ายเงินให้ จะได้รีบออกไปจากตรงนั้น หรือบอกว่า “ถ้าหยุดร้องเดี๋ยวจะพาไปกินไอติม” แต่การทำเช่นนี้ยิ่งทำให้ลูกเข้าใจว่า พอร้องแล้วจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาก็จะทำอีกเรื่อยๆ

2. คุณแม่ห้ามทำ “ห้ามบอกว่าไม่รัก”


เราต้องพยายามให้เด็กที่กำลังอารมณ์ปรี๊ดอยู่ ได้สงบลง โดยที่เขารู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่เข้าใจอารมณ์ของเขา และยังรักเขาอยู่ การบอกลูกว่า “ถ้าร้องไห้จะไม่รักแล้วนะ” จะทำให้ลูกรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่รักแล้ว ซึ่งสำหรับเด็กกำลังควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ จะยิ่งทำให้เสียใจมากยิ่งขึ้น

3. คุณแม่ห้ามทำ “ไม่ตะโกนใส่ลูก”


เวลาที่ลูกโกรธ ลูกจะไม่สามารถฟังเหตุผลได้ ยิ่งคุณพ่อคุณแม่ตะโกนใส่ ยิ่งจะทำให้อารมณ์ปรี๊ดขึ้นกันทั้งสองฝ่าย พอฟิวส์ขาดใส่กัน ทีนี้คุยกันไม่รู้เรื่อง

4. คุณแม่ห้ามทำ “ห้ามตี”


การตี อาจจะทำให้เด็กหยุดร้องชั่วคราวเพราะเจ็บ แต่ไม่ได้สอนให้ลูกเข้าใจอารมณ์ของตัวเองและแสดงให้ลูกเห็นวิธีจัดการอารมณ์นั้น แต่กลับแสดงให้ลูกเห็นว่า เวลาโกรธ เราใช้กำลังมาหยุดปัญหาได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราอยากสอนลูกเลย

สรุป: การร้องอาละวาด ถึงแม้ว่าเป็นสิ่งที่น่าโมโหสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่หากคุณพ่อคุณแม่ใช้วิธีจัดการที่เหมาะสม ก็สามารถช่วยให้ลูกเรียนรู้จากประสบการณ์นี้ได้ และไม่ทำซ้ำอีกแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก : theasianparent
ขอบคุณภาพจาก : Internet

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

LD ภาษาบกพร่องทางการเรียนรู้

โรคสมาธิสั้น